s-sirithaitrading.com
 

ผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม 
 
(พลาสติก)
 


ผลกระทบด้านบวกต่อสภาวะแวดล้อม

การประเมินผลกระทบด้านบวกต่อสภาวะแวดล้อมของการนำพลาสติกย่อยสลายได้มาใช้งาน
ทดแทนพลาสติกทั่วไปในบางโอกาส สามารถทำได้โดยการใช้วิธีประเมินวัฏจักรชีวิต  (Life
cycle assessment)     ของพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพเปรียบเทียบกับพลาสติก
ทั่วไปที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม    เพื่อประเมินผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและ
สภาพแวดล้อมด้านต่างๆ เช่น แหล่งวัตถุดิบ      ซึ่งอาจเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ปลูกหรือผลิตทด
แทนขึ้นใหม่ได้ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี    ปริมาณการใช้น้ำและพลังงานในกระบวนการ
ผลิตการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก  และการปล่อยแก๊สเรือนกระจก เป็นต้น     หากมีการนำ
พลาสติกย่อยสลายได้มาใช้งาน         และมีการกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพแล้วจะก่อให้เกิด
ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ  ดังต่อไปนี้

 



1. คอมโพสท์ที่ได้จากการย่อยสลาย  
- พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพร่วมกับขยะอินทรีย์อื่น ๆ
สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุง
คุณภาพดินโดยช่วยเพิ่มสารอินทรีย์ ความชื้น   และสารอาหารให้แก่ดิน    พร้อมทั้ง
ช่วยลด
ปริมาณการใช้ปุ๋ยและลดการเกิดโรคในพืช     การหมักพลาสติกย่อยสลายได้ทำให้เกิดการ
หมุนเวียนของธาตุ
ในขณะที่การใช้พลาสติกมักต้องกำจัดด้วยการฝังกลบหรือเผา


2. ลดเนื้อที่การใช้งานของบ่อฝังกลบขยะ
-  โดยการใช้พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ  และถุงที่ย่อยสลายได้ทำให้เพิ่มศักยภาพ
ในการย่อยสลายของเศษอาหารหรือขยะอินทรีย์ในบ่อฝังกลบ และเพิ่มศักยภาพในการผลิต
แก๊สมีเทนสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง  ในกรณีที่บ่อฝังกลบได้ถูกออกแบบมาให้ผลิต    และใช้
ประโยชน์จากแก๊สมีเทนได้       การใช้ฟิล์มพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นวัสดุคลุม
หน้าบ่อฝังกลบแทนดินในแต่ละวันเป็นการเพิ่มเนื้อที่ให้บ่อฝังกลบ   เนื่องจากการปิดหน้าบ่อ
ฝังกลบด้วยดินทุกวันจะใช้เนื้อที่รวม 25% ของเนื้อที่ในบ่อฝังกลบ


3. การใช้พลังงานในการสังเคราะห์ และผลิตพลาสติกย่อยสลายได้
- ทางชีวภาพน้อยกว่าการผลิตพลาสติกทั่วไป   ดังแสดงในตารางข้างล่างโดยเทียบกับพลัง
งานที่ใช้ในการผลิต HDPE และ LDPE โดยพลังงานที่ใช้ในการผลิต PHA ใกล้เคียงกับที่
ใช้ในการผลิต PE หากการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้โดยใช้สารอาหารน้ำตาลในน้ำทิ้งจาก
โรงงานผลิตแป้ง กากน้ำตาล ตะกอนจากบ่อน้ำทิ้ง จะทำให้การใช้พลังงานลดลง

 





ชนิดพลาสติก

พลังงานที่ใช้ในการสังเคราะห์ (MJ/Kg)

LDPE

81

PHA-fermentation process

81

HDPE

80

PCL

77

PVOH

58

PLA

57

TPS + 60% PCL

52

TPS + 52.5% PCL

48

TPS

25

TPS + 15% PVOH

25

 

 แหล่งที่มา: “Review of Life Cycle Assessment for Bioplastic” by Dr.Matin Patel, Utretch University,
Natherlands, Nov. 2001



ชนิดพลาสติก

ปริมาณการปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจก  
*10 (Kg CO2 eq./Kg)

PCL

53

LDPE

50

HDPE

49

PVOH

42

TPS + 60%PCL

36

TPS + 52.5% PCL

33

TPS + 15% PVOH

17

Mater Bi TM film grade

12

Thermoplastic starch

11

Mater Bi TM foam grade

9

PLA

NA

PLA-ferment

NA

แหล่งที่มา: Review of Life Cycle Assessments for Bioplastics by Dr. Martin Patel, Department of Science,
Technology and Society, Utrecht University, Nov. 2001.

 




ผลกระทบด้านลบต่อสภาวะแวดล้อม


1. ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ
- จากการเพิ่มของค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี (biological oxygen demand, BOD)
และค่าความต้องการออกซิเจนทางเคมี (chemical oxygen demand, COD) อันเนื่องมาจาก
การมีปริมาณสารอินทรีย์ หรือสารอาหารในแหล่งน้ำในปริมาณสูง  ทำให้จุลินทรีย์มีความต้องการ
ใช้ออกซิเจนในน้ำสูงขึ้นด้วยก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์ทางน้ำ


2. เกิดการปนเปื้อนของผลิตภัณฑ์
- ที่ได้จากการย่อยสลายของพลาสติกย่อยสลายได้ในสภาวะแวดล้อม   เช่น การย่อยสลายของ
พลาสติกในสภาวะการฝังกล   เกิดมลภาวะจากขยะอันเนื่องมาจากการใช้พลาสติกย่อยสลายได้
ทางชีวภาพที่ถูกทิ้ง หรือตกลงในสิ่งแวดล้อมที่มีสภาวะไม่เหมาะสมต่อการย่อยสลาย เช่น ถูก
ลมพัด และติดค้างอยู่บนกิ่งไม้  ซึ่งมีปริมาณจุลินทรีย์ไม่มากพอก็จะไม่สามารถย่อยสลายได้ดี
นอกจากนี้การใช้พลาสติกย่อยสลายได้อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า   จะสามารถกำจัดได้ง่าย
และรวดเร็วทำให้มีการใช้งานเพิ่มขึ้น   และพลาสติกย่อยสลายได้บางชนิดอาจใช้เวลานานหลาย
ปีในการย่อยสลายทางชีวภาพอย่างสมบูรณ์  และก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ที่กลืนกินพลาสติก
เข้าไป   เนื่องจากไม่สามารถย่อยสลายได้ภายในกระเพาะของสัตว์พลาสติกไซเซอร์ สาร
คะตะลิสต์ที่ตกค้าง รั่วไหลและปนเปื้อนไปกับแหล่งน้ำใต้ดินและบนดิน ซึ่งสารบางชนิดอาจมี
ความเป็นพิษต่อระบบนิเวศน์


3. พิษของคอมโพสท์

- ที่ได้จากการหมักพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เนื่องจากการมีสารตกค้าง หรือใช้สารเติม
แต่งที่มีความเป็นพิษ  และส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในดิน เช่น ไส้เดือน ดังนั้นจึง
ต้องศึกษาความเป็นพิษ (toxicity) ของคอมโพสท์ด้วยชิ้นส่วนที่เกิดจากการหักเป็นชิ้นเล็กๆ
เกิดการสะสมอยู่ในดินที่ใช้ทางการเกษตรในปริมาณเล็กน้อย  จะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของ
อากาศได้ดี  จึงนิยมใช้ในสวนดอกไม้ ไร่องุ่น และใส่ในกระถางเพื่อทำหน้าที่ปรับสมบัติของดิน
แต่อย่างไรก็ตามอาจเกิดการสะสมของเศษพลาสติกในดินมากเกินไปอาจส่งผลต่อคุณภาพของ
ดินและปริมาณผลิตผลที่เพาะปลูกได้


4. เกิดสารประกอบที่ไม่ย่อยสลาย
เช่น สารประกอบประเภทแอโรแมติกจากการย่อยสลายของพลาสติกบางชนิด เช่น AACs โดย
ส่วนที่เป็นวงแหวนแอโรแมติกในพอลิเมอร์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารประกอบขนาดเล็ก
เช่น กรดเทเรฟทาลิค (terephthalic acid (TPA) ซึ่งย่อยสลายทางชีวภาพได้ไม่ดีนัก


5. การตกค้างของสารเติมแต่งที่เติมลงในพลาสติกย่อยสลายได้


เพื่อปรับสมบัติให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่นเดียวกับพลาสติกทั่วไป   เมื่อพลาสติกเกิดการย่อย
สลาย สารเติมแต่งเหล่านี้อาจปนเปื้อนอยู่ในสภาวะแวดล้อมได้ เช่น สารช่วยในการผสมพลาสติก
ต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น methylene diisocyanate (MDI) สาร
พลาสติกไซเซอร์  ที่มักเติมใน
พลาสติกเพื่อความยืดหยุ่น เช่น glycerol, sorbital, propylene glycol, ethylene glycol,
polyethylene glycol,
triethyl citrate และ triacetine   สารตัวเติมที่มักเติมลงในพลาสติก
เพื่อทำให้ราคาถูกลง ส่วนใหญ่เป็นสารอนินทรีย์ จึงมักเกิดการสะสม
ในดินและสภาพแวดล้อม
อย่างไรก็ตามสารตัวเติมมักค่อนข้างเสถียร  จึงมักไม่ทำให้เกิดความเป็นพิษ เช่น CaCO3 TiO2
SiO2 และ talc 
เป็นต้น   สารคะตะลิสต์ที่ใช้ในการสังเคราะห์พลาสติกย่อยสลายได้มักเป็นสาร
ประกอบของโลหะ ซึ่งในการผลิตโดยทั่วไปมักมีคะตะลิสต์เหลือ
ค้างอยู่ในเนื้อพลาสติกเสมอ
หากเป็นพลาสติกทั่วไปที่ไม่ย่อยสลาย คะตะลิสต์จะติดค้างอยู่ในเนื้อพลาสติก แต่ในกรณีของ
พลาสติกย่อย
สลายได้     เมื่อเกิดการย่อยสลายจะมีการปลดปล่อยคะตะลิสต์ที่เหลืออยู่ออก
มาสู่สภาพแวดล้อมได้

ชนิดของโลหะในคะตะลิสต์ที่ใช้ในการผลิตพลาสติกย่อยสลายได้

ชนิดโลหะในคะตะลิสต์

ชนิดของพลาสติก

Tin

PLA, PCL

Antimony

Modified PET

Cobalt

Modified PET

Chromium

PE blends

Cobalt Managanese

Prodegradant polyethylene

Titanium

Copolyesters